ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ภพ - ภูมิ

๑๒ มิ.ย. ๒๕๕๔

 

ภพ-ภูมิ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นข้อ ๔๖๔. นะ

ถาม : ๔๖๔. เรื่อง “สภาวะของพระพุทธเจ้าหลังปรินิพพาน”

(นี่คำถามเขานะ) กราบขอเมตตาพระอาจารย์ ได้โปรดอธิบายให้ความกระจ่างเกี่ยวกับบทความข้างล่างนี้ด้วยค่ะ

หลวงพ่อ : เขาไปอ่านหนังสือ อ่านหนังสือปัญหาถาม-ตอบของเขา เขาถามว่า

ถาม : ภาวะของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว จะถือว่าสูญสิ้น หรือยังมีชีวิตอยู่อีกรูปแบบหนึ่งคะ

หลวงพ่อ : นี่คำถามนะ ทีนี้คำตอบเขาก็ตอบถูก แต่คนถามไม่เข้าใจเอง

ถาม : คำตอบ! ในข้อนี้ทรงแสดงไว้ว่า เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว มีญาณเกิดขึ้นภายในของพระทัยของพระองค์ว่า

“การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายของพระองค์ และไม่มีภพเป็นที่เกิดอีกต่อไป เพราะฉะนั้นจึงไม่มีโลกุตตรภพ”

มีการพูดถึงสภาวะพระทัยของพระพุทธเจ้าว่า “เป็นโลกุตตรภูมิ” แต่ไม่มีภพเป็นที่อุบัติของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นการดับไปเหมือนไฟที่ดับแล้ว เพราะเชื้อมอด มีการดับแล้วเพราะสิ้นเชื้อให้เกิดไฟหรือชีวิตใหม่ พระพุทธเจ้าจึงทรงดำรงอยู่เฉพาะส่วนของพระคุณ และดำรงอยู่ในรูปของพระธรรมวินัย อันเป็นศาสดาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ดังได้รับสั่งไว้ก่อนปรินิพพานว่า

“ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยอันใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยเหล่านั้นจะเป็นศาสดาของเธอเมื่อเราล่วงไปแล้ว”

กราบขอคำอธิบาย

๑. โลกุตตรภพ โลกุตตรภูมิ

๒. เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว มีญาณเกิดขึ้นภายในพระทัยของพระองค์ว่า “การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายของพระองค์” หนูจำได้ว่า หนูเคยเรียนวิชาพุทธศาสนา ตรงนี้ท่านตรัสตอนประสูติ แล้วจริงๆ ท่านเป็นอย่างไรคะ สงสัยแบบเรียนที่หนูเรียนมาบอกไม่หมด

๓. “พระอรหันต์ทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นการดับไปเหมือนไฟที่ดับแล้ว เพราะเชื้อมอด มีการดับแล้วเพราะสิ้นเชื้อไม่เกิดไฟหรือชีวิตใหม่ พระพุทธเจ้าจึงทรงดำรงอยู่เฉพาะส่วนของพระคุณ และดำรงอยู่ในรูปของพระธรรมวินัย เป็นศาสดาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย”

ทำไมหนูจึงรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าและพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านนิพพานไปแล้วยังอยู่ใกล้ๆ เลยนะคะ หลายๆ ครั้งมีความรู้สึกถึงท่านว่าท่านมาสอนหนูด้วยซ้ำ ในบทความข้างต้นไม่มีการกล่าวถึงนิพพาน สภาวะนิพพาน อ่านแล้วรู้สึกเหมือนท่านไม่มีอยู่แล้ว

หนูเพิ่งเข้ามาในเว็บไซต์ของท่านไม่นานนี้ค่ะ กำลังไล่ตามอ่านคำสอนของอาจารย์อยู่ คำสอนของพระอาจารย์โดนใจหนูมาก กระจ่าง ทะลุทะลวงที่หนูติดขัดได้อย่างมากๆ เลยค่ะ พอที่ติดอยู่หลุด โอ้โฮ.. มันสว่างวาบ! รักพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์มากขึ้น (อันนี้ยกหาง)

หลวงพ่อ : ฉะนั้นประเด็นนี้มันเป็นประเด็นที่ว่า เวลาเขาไปอ่านหนังสือ แล้วเขาบอกว่าพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ มันสูญสิ้นไป แต่ความรู้สึกของเขา เขาบอกว่าเหมือนกับครูบาอาจารย์ยังอยู่ใกล้เขา ฉะนั้นเลยทำให้เกิดความลังเลสงสัย ฉะนั้นคำถามนี้ เห็นไหม เขาบอกเขาไปอ่านหนังสือ แล้วหนังสือนี่เขียนมาว่า

“ไม่มีโลกุตตรภพ ไม่มีภพ ไม่มีภูมิ ไม่มีสิ่งต่างๆ”

ถูกต้อง อันนี้ถูกต้อง ถูกต้องเพราะอะไร ถูกต้องเพราะมันเป็นปริยัติ.. ปริยัติ เห็นไหม ภาษาสมมุติ นี่ปริยัติ สมมุติบัญญัติ ในเมื่อเป็นภาษาสมมุติ จะไปอธิบายมรรค ผล นิพพานนี่มีปัญหามาก ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพูดถึงในพระไตรปิฎกทั้งหมดนี่วิธีการกำจัดทุกข์ ในพระไตรปิฎกเป็นวิธีการทั้งหมดเลย วิธีการสอนไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ พอถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้วพระพุทธเจ้าไม่บอก พระพุทธเจ้าไม่สอน

ฉะนั้นใครอธิบายถึงนิพพานเป็นอย่างนั้น นิพพานเป็นสุขาวดีนิพพาน ว่านิพพานนี่มีชนชั้นอีกหรือ? เพราะอะไร เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นปั๊บนะมันจะมีปัญหาทันทีเลย แล้วบอกว่านี่ เห็นไหม “มีโลกุตตรภูมิ” ถ้ามีโลกุตตรภูมินะ จะมีการเข้าทรงพระพุทธเจ้าทันทีเลย

ต่อไปถ้าบอกว่าจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้นนะ ต่อไปจะมีเจ้าเข้าทรงเลย “ฉันเข้าทรงพระพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าประทับทรงแล้วนะ มันจะมีต่อเนื่องไปทันทีเลย แต่พอบอกว่า พระพุทธเจ้าไม่มีภพ ไม่มีภูมิ ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น.. เราบอกว่าไม่มีภพ! ที่ไหนมีภพ ที่นั่นอวิชชามีที่อยู่ “ที่ไหนมีภพ ที่นั่นมีอวิชชา” ต้องทำลายภพหมด ไม่มีภพ ไม่มีภูมิ ไม่มีสิ่งใดเลย

นี่ในตำราถูกต้องหมด คำตอบนี่ถูก คำตอบนี้ถูกหมด เพราะมันเป็นภาษาสมมุติบัญญัติ เป็นภาษาสมมุติบัญญัติ แต่พอมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หลวงปู่มั่นเวลาท่านบรรลุธรรม ทำไมพระพุทธเจ้ามาอนุโมทนาล่ะ? มันเป็นประเด็นทันทีนะ ทีนี้ประเด็นอย่างนี้เราไม่เอามาพูดกัน เพราะอะไรรู้ไหม “เพราะตาบอดคลำช้าง” ถ้าเอาคนตาบอดมาคุยกันนะ แล้วเอาช้างตัวหนึ่งมาวางไว้ แล้วให้คนตาบอดมาลูบช้างสังคมนั้นมีปัญหาทันทีเลย หางช้าง หูช้าง ทุกอย่าง เห็นไหม

ฉะนั้นเวลาพูดถึง “ตาบอดคลำช้าง” เพราะพูดแล้วมันจะเป็นปัญหา แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านเข้าไปด้วยวุฒิภาวะ ด้วยความสัมผัส ด้วยความเป็นจริง ถ้าด้วยความเป็นจริง เพราะหลวงปู่มั่นไม่ได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนา พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลมาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านไม่ออกมาพูดหรอก

คนที่ภาวนาเป็น คนที่เป็นครูบาอาจารย์เรานะ วุฒิภาวะของจิตนี่สูงมาก แม้แต่ทำความสงบของใจ มิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิก็แตกต่างกันแล้ว ในปัจจุบันนี้มิจฉาสมาธิ ว่างๆ ว่างๆ ถ้าเป็นสัมมาสมาธินะ หลวงปู่มั่น.. แม่ชีแก้วนี่แหละ แม่ชีแก้วนี่ไปปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น แล้วเวลาตัวเองเป็นสมาธินะ จิตสงบลงแล้วไปเห็นสิ่งต่างๆ

ตอนเย็นแช่ข้าวไว้ เพราะตี ๔ จะนึ่งข้าวใส่บาตรหลวงปู่มั่น แล้วนั่งสมาธิไป พอนั่งสมาธิไปนี่มันลง มันลงไปนะ โอ๋ย.. เราตายแล้ว เอ๊ะ.. เราตายแล้วนี่นะ มันก็ไปรู้ไปเห็นไปหมดเลย แล้วใครจะใส่บาตรหลวงปู่มั่นพรุ่งนี้เช้าล่ะ?

นี่เวลาจิตมันลงไปแล้ว มันยังห่วงใส่บาตรอยู่นะ แต่ตัวเองไม่รู้อะไรนะ แต่พอตอนเช้าหลวงปู่มั่นท่านมาบิณฑบาตนะ พอมายืนตรงหน้าแม่ชีแก้ว บอกว่า “เดี๋ยววันนี้ตามไปวัดนะ เดี๋ยววันนี้ตามไปวัด” ให้เด็กผู้หญิงตามไปวัดเลย พอตามไปวัดนะท่านก็อธิบายให้ฟัง อธิบายให้ฟัง แล้วให้ทำต่อไปเรื่อยๆ ให้ทำต่อไป พอเสร็จแล้วท่านจะไป..

นี่คำนี้อยู่ตรงนี้แล้ว เวลาท่านจะธุดงค์ออกมาจากคำชะอีท่านสั่งไว้เลย

“อย่าปฏิบัตินะ เราไม่อยู่ให้หยุด เราไม่อยู่ให้หยุด”

นี้ดีนะ.. ฟังนะเหตุผลมันอยู่ตรงนี้ไง

“นี้ดีนะเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชาย เราจะให้บวชเป็นปะขาวแล้วเอาไปด้วย หรือถ้าเป็นผู้ชายนะ เราจะให้บวชเป็นเณรแล้วเอาไปด้วย”

เอาไปด้วยเพราะอะไร เอาไปด้วยเพราะว่าจิตเวลามันเข้าไปเจอประสบการณ์สิ่งใด คนไม่รู้ คนไม่ชำนาญ แก้ไม่ได้หรอก ท่านรู้ว่าแก้ไม่ได้ ท่านสั่งไว้เลยว่า “อย่าภาวนานะ! ถ้าเราไม่อยู่แล้วอย่าภาวนา” ต่อไปจะมีคนมาแก้ แล้วหลวงตาก็ไปแก้จนสำเร็จไง

นี่เราจะบอกว่า ผู้ที่ปฏิบัติเป็นมีวุฒิภาวะ แม้แต่สัมมาสมาธิ กับมิจฉาสมาธิมันก็แตกต่างกันแล้ว แม้แต่ลงสมาธิไปแล้ว พอเวลาออกรู้นี่ส่งออก จิตลงแล้วส่งออก จนหลวงตาท่านไปแก้แม่ชีแก้ว เห็นไหม “ให้ออกบ้าง ไม่ให้ออกบ้างได้ไหม?”

การต่อรองครั้งแรก คือว่าถ้ามันจะออกนี่ สุดวิสัยก็ปล่อย คนเรานี่นะ โทษนะ ควายตู้มันกำลังคึก เราจะฉุดมันอยู่ไหม? ควายนี่ ควายที่มันยังแข็งแรง พอมันวิ่งเราจะฉุดมันอยู่ไหม? ไม่มีสิทธิ์หรอก ฉะนั้นหลวงตาท่านบอกว่า

“มันจะออก ก็ออกบ้างก็ได้ ไม่ออกบ้างก็ได้ ได้ไหม?”

คือควายตู้นี่นะ เราจะดึงให้มันอยู่ไม่มีทางหรอก จิตมันเคยส่งออก แล้วบอกไม่ให้มันส่งออกนะ เป็นไปไม่ได้หรอก! เป็นไปไม่ได้ คนเป็นสอนนี่จะพูดถูกหมด ฉะนั้นถ้าควายตู้มันแข็งแรง มันขวิด มันจะหลุดไปก็ช่างมันนะ แต่ถ้ามีสติยับยั้งมันได้ ควรยับยั้งมันไว้ ยับยั้งไว้อยู่กับเราอย่าให้ส่งออก

นี่สุดท้ายแล้วคนมันเคยใช่ไหม มันเคยมันก็ส่งออกตลอด มันออกตลอด

“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องขึ้นมา!”

อัดเลย เห็นไหม เสร็จแล้วท่านก็เสียใจว่า นี่คนมีปัญญา คนเป็นกับคนเป็น พอเวลามันเสียใจว่า “เราก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว แล้วก็อยากหาคนชี้นำ แล้วเวลาอย่างนี้เราขึ้นไปหาท่าน ทำไมเราไม่เชื่อท่านล่ะ? ทำไมไม่ลองทำอย่างที่ท่านว่าล่ะ?”

เพราะมันเกิดปัญญามันถึงมีการเปลี่ยนแปลง ทำไมเราไม่ลองเชื่อท่านล่ะ? เราลองดึงไว้ก่อนสิ ควายตู้นี่อย่าปล่อยให้มันไป เราดึงมันไว้ได้ไหม? พอเริ่มหัดดึงไว้ๆ พอดึงไว้มันก็ลง พอลงขึ้นมา เห็นเป็นหลวงตาเดินมา นั่งอยู่นี่แหละเอามีดฟัน ฟันร่างกายนี่แหละ ฟันๆ ฟันไปหมดเลย นี่พอฟันแล้วมันเกิดวิปัสสนา มันเกิดภาพข้างใน เห็นไหม พอมันเกิดขึ้นมา ก้มลงกราบแล้วกราบอีก แล้วก็ขึ้นไปหาท่าน

นี่เราพูดถึง ถ้าคนไม่เป็นพูดออกไปนี่ เราพูดอย่างหนึ่ง มีคนเขาว่านะ “นกมันก้าวขา” ไอ้คนฟังก็บอกเลย “นกมีเก้าขา” นกมันก้าวขาเดินนะ นี่เห็นนกก้าวขา ไอ้คนฟังอยู่นะ โอ๋ย.. นกมันมีเก้าขานะ โอ้โฮ.. มันก็ต่อไป เห็นไหม คนไม่เป็นนี่ เพราะกิริยาการก้าวขา ผู้พูดเขาพูดเพราะกิริยาอย่างนั้น ไอ้คนฟังมันไม่รู้เรื่องมันก็จินตนาการไป นกเก้าขา นกมีเก้าขา.. นกมันก้าวขาเดิน มันไม่ใช่มีเก้าขา มันมีสองขา แต่มันก้าวเดิน

นี่สมมุติบัญญัติ! ภาษาสมมุติ แล้วคนไม่ไปรู้จริง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามีคนรู้จริง เห็นไหม อย่างครูบาอาจารย์ท่านรู้จริงขึ้นมา คำพูดนะ “นกก้าวขา” อ๋อ.. มันก็ก้าวเดิน นี่มันรู้มันเห็นไปกันหมด

ฉะนั้น สิ่งที่ในหนังสือนี่ถูก ในหนังสือมันเป็นสมมุติ มันเป็นธรรมวินัย สมมุติบัญญัติ พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้

“ธรรมและวินัยนี้จะเป็นศาสดาของเธอ”

นี่พอเวลาพระพุทธเจ้าพูดถึงสภาวะนิพพาน ท่านเปรียบเหมือนไฟ ไฟที่มันมีอยู่แล้วมันดับ มันดับแล้วไฟนั้นไปไหน นั่นแหละเห็นไหม เพื่อไม่มีหลักฐานไว้ให้เราได้เอามาว่าพระพุทธเจ้าจะเข้าทรงไง ถ้ามีแล้วเดี๋ยวพระพุทธเจ้าจะเข้าทรง

หนังสือนี่ถูก แต่! แต่เป็นทฤษฎี แต่เป็นปริยัติ แต่พอมาปฏิบัติ เห็นไหม

“ให้หลวงพ่ออธิบายเรื่อง โลกุตตรภพ โลกุตตรภูมิ”

อันนี้นี่ ภพ ภวาสวะ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ ในหนังสือที่ว่าเจ้าคุณจูมสนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น เจ้าคุณจูมท่านเป็นธรรมชั้นธรรมนะ ท่านบอกว่า

“อวิชชาสวะ กิเลสสวะนี่เข้าใจได้ ภวาสวะ ภพนี่มันเป็นภวาสวะได้อย่างใด? พื้นดินมันเป็นกิเลสได้อย่างใด? พื้นดิน สถานที่เป็นกิเลสได้อย่างไร?”

หลวงปู่มั่นอธิบายเลยนะ เป็นกิเลสสิ บ้านเราเป็นกิเลสไหม? บ้านเรานี่ไม่เป็นกิเลสหรอก เพราะบ้านเรามันไม่มีชีวิต แต่เป็นกิเลสสิ เป็นกิเลสเพราะบ้านเราไง เป็นขี้ข้ามัน มันสั่งให้เช็ดให้ถูอยู่ไง มันสั่งให้ทำงานอยู่ เดี๋ยวต้องไปทำความสะอาดนะ

ภพ ภูมิอยู่ที่ไหน? มันละเอียดไง มันละเอียดจนแทบจะไม่มีผลเลย แต่มีผล มีผลเพราะเป็นสถานที่เริ่มต้น เห็นไหม ภวาสวะ กิเลสสวะ.. กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก อวิชชาสวะคือไม่รู้ ภวาสวะคือภพ แล้วหลวงปู่มั่นอธิบายด้วยว่า

“ภพนี่แหละกิเลสที่ละเอียด”

ฉะนั้น ที่ไหนมีภพ ที่นั่นมีที่อยู่ของอวิชชา ฉะนั้นพระอรหันต์ไม่มีภพ จะไม่มีโลกุตตรภพ ไม่มี.. ทีนี้เพียงแต่ว่าโลกุตตรภพ เวลาพูดเห็นไหม จิตพระอรหันต์ๆ จิตพระอรหันต์ไม่มีหรอก

“โลกุตตรภพ โลกุตตรภูมิ” ถ้าโลกุตตรภพนี่ไม่มี ถ้าโลกุตตรภูมิ ถ้าภูมิ เห็นไหม ภูมิของโสดาบัน เออ.. อย่างนี้เราเห็นด้วย ภูมิของโสดาบัน ภูมิมีมากแค่ไหน ภูมิของสกิทาคามี ภูมิของอนาคามี ภูมิของพระอรหันต์ พอเป็นภูมิของพระอรหันต์ โลกุตตรภพนี่ทำลาย

ถ้าโลกุตตรภูมิ เห็นไหม ถ้าภูมิของพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร? ถ้าเป็นพระอรหันต์นะ อาสเวหิ จิตตานิ วิมุตจิง สูติ นี่อาสวะสิ้นไป.. อาสเวหิ จิตตานิ จิตทำลายจิต ต้องทำลายจิต วิมุตจิง สูติ ถึงมีวิมุตติไป

ภพ ภูมิ ถ้าภูมิของพระอรหันต์ เป็นอย่างไรพระอรหันต์? จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น จิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น คนที่บอกจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น ถ้าจิตพระอรหันต์เป็นอย่างนั้นหลวงตาบอกว่า “เรือนว่างแต่มีคนอยู่” แล้วไปบอกว่าบ้านเราว่างๆ อยู่ในบ้านนี่โอ้โฮ.. บ้านนี้ไม่มีใครเลย ก็เจ้าของบ้านมันนั่งอยู่นั่น

อยู่บ้านคนเดียวใช่ไหม บอกโอ๋ย.. บ้านนี้ไม่มีใครเลย บ้านนี้ไม่มีใครเลย เดินอยู่ทั้งวันบอกบ้านนี้ไม่มีใครเลย บ้านก็มีเอ็งไง ถ้ายังมีเอ็งอยู่ บ้านมันไม่ว่างหรอก แต่ถ้าบ้านว่างหมดเลย ทำความสะอาด บ้านสะอาด อู๋ย.. บ้านไม่มีใครอยู่เลย มันเดินขึ้นบันได ลงบันไดเสียงดังลั่น มันบอกบ้านนี้ไม่มีใครอยู่ เพราะมีมันอยู่คนเดียว นี่ตัวภพ ถ้ามีตัวภพ มีสถานที่ ถ้ามีตัวภพยังมีอยู่ เห็นไหม

ฉะนั้น โลกุตตรภพ ภพที่สะอาดไม่มี.. โลกุตตรภูมิ ภูมิของชั้นนี้มี ฉะนั้นกรณีนี้ เดี๋ยวจะอธิบายไปเรื่อยๆ นะ เพราะว่านักปฏิบัตินี่เราปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้ว พอเราอ่านทางวิชาการแล้วกลับทำให้สงสัยไง แล้วประสาเรานะ หลวงตาท่านเป็นมหา เวลาท่านไปหาหลวงปู่มั่น เห็นไหม หลวงปู่มั่นบอกว่า

“มหา.. มหาเรียนมาจนเป็นมหานะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เทิดใส่ศีรษะไว้ คือเรายกเทิดบูชาไว้ แล้วใส่ลิ้นชักไว้ แล้วลั่นกุญแจไว้อย่าให้มันออกมา”

ถ้ามันออกมานะ เวลาปฏิบัติไป นี่ปัญหาเวลาปฏิบัติไปมันจะเตะ มันจะถีบ ภาษาหลวงปู่มั่นว่ามันจะเตะ มันจะถีบกัน คือมันจะขัดแย้งกัน นี่ระหว่างทฤษฎีกับความเป็นจริง มันจะมีความขัดแย้งกัน ฉะนั้นให้เก็บไว้อันหนึ่งก่อนแล้วปฏิบัติไป พอปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้วนะ ทฤษฎีกับความจริงจะเป็นอันเดียวกัน หลวงตาท่านไม่เคยขัดแย้งพระไตรปิฎก ครูบาอาจารย์ของเรากราบพระไตรปิฎกด้วยหัวใจ กราบพระไตรปิฎกก็เหมือนกับเรากราบตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบพระธรรม

ฉะนั้นพระไตรปิฎกนี่ไม่มีความขัดแย้งเลย แต่เวลาเราพูดถึง หลวงตาหรือเราเวลาพูดถึงว่าพระไตรปิฎกจะเป็น.. หลวงตาบอกว่าอะไรนะ “ปลวกแทะกระดาษ” อะไรเนี่ย พูดเพื่อเตือนคนอ่าน พูดเพื่อเตือนคนปฏิบัติ พระไตรปิฎก สาธุ เห็นไหม เป็นตัวแทน แต่เวลาพูดถึงนี่พูดเพื่อเตือนบุคคลที่จะเข้าไปยึดไง ยึดว่ารู้ ก็เหมือนกับว่าบ้านว่างๆ แต่เราอยู่นั่นล่ะ.. เรารู้ เราเห็น แต่ไม่ทำอะไรเลย ไม่ได้ชำระกิเลสอะไรเลย ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ไปรู้ของเขามา

ฉะนั้นโลกุตตรภพ โลกุตตรภูมิ.. โลกุตตรภพ ภพคือภวาสวะ อาสวะ ๓ กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ นี่ภวาสวะ ภพนั้นก็เป็นกิเลส แต่ถ้าเป็นโลกุตตรภูมิ ภูมิธรรมของแต่ละชั้น นั่นอีกเรื่องหนึ่ง.. นี่ข้อที่ ๑

ถาม : ข้อที่ ๒. เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว มีญาณเกิดขึ้นภายในพระทัยของพระองค์ว่า “การเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายของพระองค์” หนูจำได้ว่า หนูเคยเรียนวิชาพุทธศาสนา ตรงนี้ท่านตรัสตอนท่านประสูติ

หลวงพ่อ : ใช่ อันนี้เห็นไหม เพราะปฏิบัติแล้วเราจะแยกแยะได้ชัดเจน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ แล้วพูดที่สวนลุมฯ นั่นล่ะ “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แล้วเดินไป ๗ ก้าว

ฉะนั้นเวลาทฤษฎี ตรงนี้เขาเขียนโดยทฤษฎี ถ้าทฤษฎีเป็นแบบนี้ เพราะทฤษฎีไม่มีมรรคญาณ ฉะนั้นเวลาว่าเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ มีญาณทัศนะเกิดขึ้น ญาณทัศนะคือญาณฆ่ากิเลส ไม่ใช่มีญาณทัศนะว่าเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

ญาณทัศนะ มรรค ๘ นี่ญาณทัศนะ เห็นไหม มรรคญาณที่มันเข้าไปทำลายอวิชชา แต่พอทำลายอวิชชาเสร็จแล้ว เกิดหรือไม่เกิดนี่ไม่ได้พูด ตอนสิ้นกิเลส.. เพราะว่าตอนประกาศว่าชาติสุดท้ายมันเป็นภาษาอ้าปากแล้ว มันส่งออกแล้ว ฉะนั้นมันเลยมาขัดแย้งว่า “หนูว่าตอนหนูเป็นนักเรียนหนูรู้ตรงนี้” แล้วพอบอกว่า..

ถาม : ในความเข้าใจของหนู หนูก็อยากจะบอกว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ พระอรหันต์ยังอยู่

หลวงพ่อ : เราก็จะยืนยันอย่างนั้น ว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ เราจะยืนยันนะว่าพระพุทธเจ้ายังอยู่ พระอรหันต์ยังอยู่ ทุกอย่างมี เพราะนิพพานมี วิมุตติมี ไม่ใช่วิมุตติสิ้นสูญไป ไม่ใช่! สูญมี สูญจากกิเลส แต่ไม่ใช่จิตด้วย ถ้าจิตมันยังมีสถานที่ ยังมีอะไร มันก็หมุนเวียนของมันไป

ทีแรกหลวงตาท่านก็พูด แต่ตอนหลังท่านบอกว่าเป็นธรรมธาตุๆ ไง มันเป็นธาตุธรรม มันเป็นธรรมทั้งแท่ง เอโก ธัมโม ธรรมทั้งหมด ไม่มีภพ ไม่มีหัวใจ ไม่มีอะไรเลย แต่มันเป็นธรรม ธรรมทั้งหมดเลย

ฉะนั้นสิ่งนี้มี นี่ความเข้าใจของเราว่ายังมีอยู่.. ใช่! ยังมีอยู่ แต่มีแบบความจริง มีแบบว่าถ้าปฏิบัติ จิตใจสูงส่ง แล้วคนๆ นั้นต้องมีบุญญาธิการ อย่างเช่น! อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนี่พระอรหันต์มาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นมาก

แต่เราฟังอยู่นะ นี่ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านไม่ได้พูดถึงอย่างนี้เลย อย่างเช่นหลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์เราที่เป็นพระอรหันต์ๆ นะไม่ได้พูดตรงนี้ ไม่ได้พูดตรงนี้หมายถึงว่า บุคคลเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านจะมาเป็นผู้ที่เป็นหลัก เป็นผู้ที่เผยแผ่ เหมือนจะบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าเมืองไทยเลย เป็นผู้ที่จะมาทำประโยชน์มาก

ฉะนั้นผู้ที่จะทำประโยชน์มาก พระพุทธเจ้าอนุโมทนา เพราะพระพุทธเจ้าพูดไว้อยู่ในพระไตรปิฎก นี่อ้างพระไตรปิฎกเลย พระพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎกว่า

“กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

แล้วมันเจริญที่ไหนล่ะ มันเจริญที่ไหน? วัฒนธรรมมาจากความรู้สึกของคน เพราะวัฒนธรรมมันจะอยู่ในก้นบึ้งของใจของคน วัฒนธรรม เห็นไหม วัฒนธรรมที่เราแสดงออก

จิต! จิตถ้าคนมันจะมีคุณสมบัตินี่นะ มันจะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่จะเป็นหลักชัย ทีนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า “กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” ฉะนั้นถ้ามันจะเจริญ มันจะเจริญด้วยสัจธรรม ด้วยอริยสัจ ด้วยสัจธรรมในหัวใจอันนั้น ถ้าในหัวใจอันนั้น หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านถึงอธิบาย ท่านถึงพยายามวางธรรมทายาท

หลวงปู่มั่นท่านเคี่ยวเข็ญเหลือเกิน เคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมาให้เป็นผู้นำ ให้เป็นหลักชัยให้ได้ แล้วเวลาหลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ชอบ หลวงตา เวลาท่านคุยกันไง คุยกันเพราะอะไร เพราะว่าเวลาพวกเรา นี่ครูบาอาจารย์ชุดนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น แล้วเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหลวงปู่มั่น เป็นผู้ที่รับใช้หลวงปู่มั่น ฉะนั้นพอรับใช้หลวงปู่มั่น รับใช้ด้วยร่างกายมนุษย์ รับใช้ด้วยข้อวัตรปฏิบัติ หลวงตาท่านรับใช้อยู่ด้วยความใกล้ชิด

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านรับใช้ เห็นไหม อย่างเช่นหลวงปู่มั่นกับหลวงปู่เสาร์ พระพุทธเจ้ามาอนุโมทนา แต่ครูบาอาจารย์ของเราที่รับใช้จะเป็นธรรมทายาท รับศาสนธรรมเป็นธรรมทายาทจากหลวงปู่มั่นมา ได้คุณสมบัติสิ่งใดมา ฉะนั้นหลวงปู่ขาวท่านถึงเล่าให้หลวงตาฟังว่า ขนาดท่านวางบาตรผิดที่ หรือท่านสั่งสอนสิ่งใดนี่หลวงปู่มั่นจะมาเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอนุโมทนาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะคอยชี้แนะ คอยสอน คอยบอกกล่าวหลวงปู่ขาว นี่มันส่งกันมา เพราะว่าส่งกันมาคือว่าจะให้เข้มแข็ง พอเข้มแข็งขึ้นมา พอธรรมะเจริญขึ้นมา...

เราถึงได้สลดใจว่า ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อธรรมสาธารณะ แต่สุดท้ายลูกศิษย์ลูกหาปลายอ้อปลายแขม ตอนนี้มันตีกลับไง กลายเป็นพระขุนนางกันไปหมดไง กลายเป็นว่าข้อวัตรปฏิบัติ กลายเป็นว่าสัจจะความจริงนี่ เก็บพับฐานใส่ไว้ที่อื่น ตัวเองทำตัวกันเหลวแหลก เหลวแหลกจริงๆ ผู้ที่ปฏิบัติมันจะมีความรู้สึกอย่างนี้

นี่พูดถึงว่า “เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว มีญาณทัศนะเกิดขึ้น ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย”

ชาติสุดท้าย.. นี้เป็นการอธิบายออกมาใช่ไหม นี่ข้อที่ ๒. นะ

ทีนี้เขาบอกว่า “หนูบอกว่าตอนนี้มันเป็นตอนท่านเกิด” นี่ในพุทธประวัติ อันนี้ก็ถูกต้อง!

ถาม : ข้อ ๓. พระอรหันต์ทั้งหลาย พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการดับไปเหมือนไฟที่ดับแล้ว เพราะเชื้อมอด มีการดับแล้วเพราะสิ้นเชื้อไม่เกิดไฟหรือชีวิตใหม่ พระพุทธเจ้าจึงทรงดำรงอยู่เฉพาะส่วนของพระคุณ และดำรงอยู่ในรูปของพระธรรมวินัย เป็นศาสดาของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย

หลวงพ่อ : ก็ถูกต้อง ถูกต้องเป็นทางทฤษฎี ทางวิชาการ ถูกต้อง! ถูกต้อง!

ถาม : แต่ทำไมหนู.. (ปัญหามันเกิด) แต่ทำไมหนูยังรู้สึกว่าพระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านนิพพานไปแล้ว ยังอยู่ใกล้ๆ เลยคะ หลายครั้งที่ยังรู้สึกว่าท่านมาสั่งสอนหนูด้วยซ้ำ ในข้อความข้างต้น ไม่มีการกล่าวถึงพระนิพพาน สภาวะนิพพาน อ่านแล้วรู้สึกเหมือนท่านไม่มีอยู่ หนูเพิ่งอ่านธรรมะ (อันนี้เขาเข้าเว็บเรา)

หลวงพ่อ : เราต้องเข้าใจว่าสุตมยปัญญาคือการศึกษา พอศึกษาแล้วต้องขยายความได้ เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่า “เวลาแปลบาลี คำสมาสอะไรต่างๆ กลัวผิดกลัวพลาดไปหมด เพราะทางวิชาการ” ฉะนั้นเวลาปฏิบัติแล้ว หลวงปู่มั่นท่านบอกหลวงตาให้วางไว้ แล้วเราทำความเป็นจริงของเราขึ้นมา แล้วหลวงตาท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นเวลาท่านแปลบาลี ท่านบอกโอ้โฮ.. บาลีนะ

เวลาคนเรานี่เขาเรียกว่า “ธรรมเกิด” อย่างเช่นที่เราอยู่ในวงกรรมฐาน ที่เราศึกษาอยู่ มีหลวงปู่มั่นที่เวลาธรรมเกิด เกิดเป็นภาษาบาลี กับหลวงปู่จวน หลวงปู่จวนขึ้นเป็นบาลีหมดเลย คนที่ขึ้นเป็นบาลี พวกนี้มีบารมีสูงมาก แต่หลวงตาท่านบอกว่า “ของเราขึ้นเป็นภาษาไทย” ตัวหลวงตาท่านพูดนะว่าของท่านเวลาธรรมเกิด

ธรรมเกิด เวลาปฏิบัติไปมันจะเป็นภาษาบาลีมาเลย มันเป็นคำๆ มาเลยนะ มันเป็นธรรมมาสอนเราไง แต่ถ้าโดยหลวงตาท่านเป็นภาษาไทย สำหรับเราก็เป็นภาษาไทย เวลาขึ้นนี่เป็นภาษาไทย คือเป็นภาษาพื้นบ้านนี่แหละ ถ้าเป็นภาษาบาลีเราคงจะหัวปั่นเลย เราคงจะเอาหัวทิ่มบ่อนึกไม่ออก นี่ถึงว่าคนมันอ่อนด้อยไง วาสนามันอ่อนด้อย วาสนามันไม่เข้มแข็งเหมือนครูบาอาจารย์

ฉะนั้นเวลาหลวงปู่มั่นท่านถึงบอกว่า “เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ประเสริฐ เราเทิดไว้บนศีรษะ เทิดไว้เลยนะ แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป”

ความจริงเข้าไปนี่สุตมยปัญญา ที่เขาเรียนมาเขายึดของเขา เขายึดของเขา อย่างเช่นเราอ่าน เห็นไหม “เวลาหนูอ่านขึ้นมา” หนูนี่ยังยึดของเขาเลย แล้วหนูก็เอามาเป็นประเด็นกับความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกบอกว่า “พระพุทธเจ้ายังอยู่ นี่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ก็ยังอยู่”

อยู่สิ! เวลาหลวงตาท่านบอกว่าท่านจะกราบหลวงปู่มั่น เห็นไหม ท่านไม่ต้องมีรูปเคารพเลย ท่านระลึกถึงหลวงปู่มั่น ท่านกราบที่ไหนก็ได้ เพราะว่าความรู้สึกเราผูกพัน นี่อยู่กับเราอยู่แล้ว ยิ่งทำดีนะ เราเอารูปตั้งไว้นี่แล้วเดินจงกรมสิ ถ้าลองขี้เกียจนะ ดูตาสิเพ่งอยู่เลยล่ะ มีรูปแค่นี้มันก็เสียวนะ มันก็เสียวสันหลังแล้ว แล้วทำผิดทำถูกท่านคอยจ้องเราอยู่ นี่จ้องอยู่เลยนะ เอ็งทำดีหรือทำไม่ดี ท่านคอยคุมเอ็งอยู่นะ มันอยู่ที่เราไง

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ถ้าใครเป็นโสดาบัน ก็เห็นพระพุทธเจ้า ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าใครเข้าถึงสกิทาคามี นี่อยู่กับพระพุทธเจ้า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าใครเป็นพระอนาคามีนะ อยู่กับพระพุทธเจ้า ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าใครเป็นพระอรหันต์นะ พระพุทธเจ้าเต็มองค์เลย นี่พระอรหันต์กับพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็พระอรหันต์ พระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ พระอรหันต์เหมือนกันหมดเลย แล้วมันจะมาสงสัยสิ่งใด แล้วว่าอะไรมันไม่มี.. มีทั้งนั้นแหละ! สิ่งที่มีอยู่เนี่ย..

ฉะนั้นเวลาประวัติหลวงปู่มั่นมา สมัยที่หลวงตาเขียนประวัติใหม่ๆ เห็นไหม แล้ว.. เขาวิจารณ์หนังสือประวัติหลวงปู่มั่น เขาบอกว่า

“หลวงปู่มั่นสอนให้พระโง่หรือพระฉลาด? เพราะในนิพพานคือไม่มี นิพพานมันไม่มีแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าจะมาอนุโมทนากับหลวงปู่มั่นได้อย่างไร? หลวงปู่มั่นสอนให้คนโง่หรือคนฉลาด?

โอ้โฮ.. หลวงตาท่านถามกลับเลย ท่านถามกลับว่า

“ถ้าปฏิเสธว่าพระพุทธเจ้าไม่มี เราต้องปฏิเสธก่อนว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ไม่มี ถ้าเรายังกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึกอยู่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถ้ายังมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ พระพุทธเจ้าไม่มีตรงไหน?”

นี่เวลาหลวงตาท่านยันกลับนะ คำว่ายันกลับมันก็เหมือนปัญหานี่ ทำไมหลวงตาท่านถึงทำ? หลวงตาท่านทำก็เพราะตรงนี้ไง ตรงที่ว่า “หนูเข้าใจว่า” ถ้าผู้ที่ปฏิบัติเริ่มปฏิบัติเข้ามา แล้วจิตใจไปสัมผัส แล้วตำราบอกว่าไม่มี! ตำราบอกไม่มี! แต่ใจเราสัมผัส เราจะไปรอดไหม?

ฉะนั้น ตำราก็บอกไว้อย่างนี้ เพราะตำราคือตำรา ตำรามันไม่มีชีวิต แต่เวลาผู้ที่ปฏิบัติมันมีสัมผัส มันมีความรับรู้ แล้วถ้ามีความรับรู้ มีความสัมผัส คนที่สัมผัสมาแล้วเขารู้ แล้วคนสั่งสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์ปฏิบัติขึ้นมานี่ไปสัมผัส สัมผัสขึ้นมาแล้วก็งง เพราะตำราบอกว่าไม่มี ตำราบอกไม่มี แล้วคนภาวนาจะเป็นอย่างไร?

นี่เวลาหลวงตาท่านพูดอะไร เราพยายามคิดตาม เราพยายามคิดตามท่าน ว่าท่านพูด ท่านแย้ง ท่านยืนยันนี้เพื่ออะไร? เพราะว่าถ้าคนปฏิบัติมันจะมีนะ ท่านพูด ท่านยืนยันไว้เพื่อประโยชน์กับคนที่ปฏิบัติ เวลาท่านสอนพระนะ

“หมู่คณะจำไว้ ให้ปฏิบัติไป แล้วถ้าปฏิบัติถึงคำพูดนี้ที่ท่านพูดไว้ แล้วพวกนี้จะมากราบศพผม”

เวลาอยู่ที่นี่มันไม่เชื่อไง ครูบาอาจารย์ท่านบอกใช่ไหม บอกว่าควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนั้น พวกเรามันเด็กใช่ไหม พวกเรามันฝึกหัดใหม่ใช่ไหม ขี้เกียจไง ฮึ! ฮึ! ฮึอย่างเดียวเลย มันไม่เชื่อ! มันไม่เชื่อหรอก มันไม่รื่นเริง อาจหาญ มันไม่ได้ด้วยความมั่นใจ แต่ถ้าวันไหนมันเกิดฮึกเหิม เกิดมีการกระทำ พอมันสัมผัสตรงนั้นปั๊บมันจะมากราบศพเลย

กราบศพเพราะอะไร? กราบศพเพราะหลวงตาท่านบอกท่านปฏิบัติไปนะ เพราะหลวงตาท่านเป็นมหา ปฏิบัติถึงตรงไหนก็แล้วแต่ ในตำราบอกไว้หมดแล้ว ปฏิบัติถึงตรงไหนนะ ตำราบอกไว้หมดแล้ว เวลาท่านไปบรรลุธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เห็นไหม เวลาจิตมันพลิกฟ้าคว่ำดิน ท่านบอกท่านลุกขึ้นกราบๆ ลุกขึ้นกราบพระพุทธเจ้า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า

ดูสิ! เพราะอะไร? เพราะมันซึ้งใจไง เวลามันพลิกฟ้าคว่ำดิน มันจบแล้วนะกราบพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าถ้าใครมาเห็นตอนนั้นนึกว่าท่านบ้า แต่ความจริงท่านกราบด้วยความซาบซึ้ง ซาบซึ้งสุดหัวใจ เห็นไหม ลุกขึ้นกราบแล้วกราบเล่า

มีไหม? พระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หัวใจเป็นธรรมแล้วจะไปคัดค้านกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีหรอก มันจะมีแต่พวกเรานี่แหละ ไอ้พวกปฏิบัติใหม่นี่แหละ หันหน้าก็ผิด หันหลังก็ผิด หันข้างก็ผิด ไอ้ผิดๆ ไอ้ที่บอกพุทธพจน์ๆ ให้เชื่อๆ นี่ใจมันคัดค้าน ไอ้พวกที่บอกว่า ไอ้เพราะพระป่า เพราะพระไตรปิฎกนี่เป็นวิธีการเข้าหาสัจธรรมๆ พวกนี้เคารพด้วยหัวใจ เคารพด้วยหัวใจ ไม่มีใบประกาศ ไม่มีใบตำแหน่งอะไรทั้งสิ้น แต่มีความเคารพจากใจ เพราะมันปฏิบัติไปแล้ว มันเข้าไปสัมผัส

ฉะนั้นพอมันสัมผัสขึ้นมา เห็นไหม ความสัมผัส ความรู้จริง

วันนี้พูดซะยาวเลย มันยาวเพราะอะไร ยาวเพราะคนที่ปฏิบัติเข้าไปแล้วนี่ ไปรู้ไปเห็นเข้า แล้วตำราบอกว่าไม่มี แต่หนูว่ามี หนูว่ามี.. เราก็ว่ามี แต่! แต่มีแล้วให้ปล่อยวาง เพราะมีสัมผัสอย่างใดก็แล้วแต่จิตมันออกรู้ จิตมันจะรู้จริง ต่อเมื่อจิตเป็นตัวของมันเอง จิตเป็นตัวของมันเอง จิตมันจะหันกลับเข้ามา แล้วแก้ชำระกิเลสของมัน อันนั้นถึงจะเป็นประโยชน์กับตัวเรานะ พอเป็นประโยชน์กับตัวเรา เห็นไหม อย่างเช่นครูบาอาจารย์มาสอน นี่ครูบาอาจารย์ยังอยู่ ท่านมาสอน คำสอนเป็นของเราหรือเปล่า? แต่ถ้าเรารู้จริงเป็นของเราหรือเปล่า?

ฉะนั้น คำสอนนี่สาธุ มาสอนมันก็เป็นประโยชน์สิ มีคนชี้นำทาง มันก็ต้องสะดวกสบายขึ้นเป็นธรรมดา แต่เราต้องปฏิบัติขึ้นมาให้เรารู้ได้ หรือเราปฏิบัติขึ้นมาให้เรารู้จริงขึ้นมาได้ ฉะนั้นสิ่งที่ถามๆ มานี้จะไม่เป็นประเด็นเพราะว่า! เพราะว่ามันมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มีสุตมยปัญญา การศึกษา มีจินตมยปัญญา จินตนาการ มีภาวนามยปัญญา ปัญญาที่ชำระกิเลส

ฉะนั้น เวลาเราพูดถึงโลกุตตรภูมิๆ เราจะบอก เห็นไหม โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา.. ถ้าเป็นโลกียปัญญา ปัญญาจากกิเลส ปัญญาแบบโลก ถ้าโลกุตตรปัญญา โลกุตตระ ปัญญาจะพ้นจากโลก ฉะนั้น เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา เราจะเห็น เราจะรู้ความแตกต่าง

ฉะนั้น “ทำไมหนูยังรู้สึกว่าพระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านนิพพานไปแล้ว ยังอยู่ใกล้ๆ เลยนะคะ หลายๆ ครั้งที่รู้สึกว่าท่านมาสอนหนูด้วยซ้ำไป ในบทความข้างต้น ไม่มีการกล่าวถึงนิพพาน สภาวะนิพพาน อ่านแล้วรู้สึกเหมือนว่าท่านไม่มีอยู่อีกแล้ว ก็เลยทำให้หนูสงสัย”

นี่เราจะให้เห็นว่า เวลาเราบอกกับโยม เห็นไหม เวลาอ่านหนังสือ ให้อ่านหนังสือปฏิบัติ ให้อ่านหนังสือประวัติของครูบาอาจารย์เราที่เชื่อถือได้ เพราะในประวัติครูบาอาจารย์ อย่างเช่นประวัติหลวงปู่มั่น มันจะมีเกร็ดธรรมะเยอะแยะไปหมดเลย

เกร็ดธรรมะหมายถึงคนปฏิบัติไปแล้วมันเกิดอุปสรรค เกิดความสำเร็จ เกิดผล นี่จะเป็นคติธรรมเราตลอดเลย แต่พอเราไปอ่านหนังสืออย่างเช่นพระไตรปิฎก เป็นทฤษฎีที่เป็นสากล เราอ่านแล้วมันอยู่ที่การตีความ เหมือนภาษากฎหมาย ภาษากฎหมายนะ นักกฎหมายจะตีความกฎหมายแล้วก็เถียงกันๆๆ ไม่จบหรอก

นี้ก็เหมือนกัน เราดูแลของเรา เพื่อประโยชน์กับเราเนาะ อันนี้พูดถึงเรื่อง “สภาวะของพระพุทธเจ้าหลังนิพพาน”

ข้อ ๔๖๕. ไม่มี

ถาม : ข้อ ๔๖๖. เรื่อง “ขออนุญาตเผยแผ่ธรรมะหลวงพ่อผ่านเฟสบุ๊คครับ”

หลวงพ่อ : ไม่อนุญาตครับ นี่เขาขออนุญาตมาไง.. ไม่หรอก เพราะว่าออกไปแล้วมันจะเป็นยุ่งใหญ่เลย เขาขออนุญาตออกเฟสบุ๊ค คือเว็บไซต์ที่ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อและคณะสงฆ์วัดป่าเขาแดงใหญ่ ขออนุญาตเผยแผ่ธรรมะของหลวงพ่อผ่านเฟสบุ๊คครับ (เฟสบุ๊คคือเว็บไซต์ที่ให้บริการบนอินเตอร์เน็ตบริการหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสาร และร่วมกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หรือหลายกิจกรรมของผู้ใช้) คนอื่นจะได้เป็นประโยชน์ ตั้งประเด็นถาม-ตอบต่อผู้ที่สนใจได้

หลวงพ่อ : นี่แหละ เพราะเดี๋ยวมันจะไปใหญ่ไง คือว่าเราทำอย่างนี้ เราคิดว่าเป็นประโยชน์พอสมควรแล้วล่ะ ถ้ามันออกไปจนเราควบคุมสิ่งใดไม่ได้

หลวงตาบอกว่า “ธรรมะของท่านเปรียบเหมือนน้ำพริกถ้วยหนึ่ง น้ำพริกนี้อยู่ในถ้วยจะเข้มข้นมาก แต่ถ้าน้ำพริกถ้วยนี้ลงไปละลายในแม่น้ำหรือทะเล น้ำพริกถ้วยนี้จะไม่มีรสชาติเลย”

ธรรมะที่เราควบคุมได้ ที่เราดูแลได้ มันจะเป็นธรรมะให้โลกได้พึ่งพาอาศัย เราคิดว่ามันเป็นประโยชน์ แล้วเราก็จะเอาไปเผยแพร่ให้ลงไปในน้ำทะเล ในแม่น้ำ ไม่มีใครควบคุมมัน มันก็จืดชืด แล้วพอจืดชืดเกินไปแล้วก็จะบอกว่า “นี่ไม่เห็นดีเลย นี่ไม่เห็นจริงเลย”

อ้าว.. มันจะจริงได้อย่างไรล่ะ มันก็เหมือนรสของน้ำในแม่น้ำแล้ว เพราะมันกระจายออกไปวงกว้างไง แต่ถ้ามันอยู่ในถ้วยแล้วมีคนดูแลรักษามัน ใครมากินน้ำพริกถ้วยนี้ก็ว่า ซู๊ด.. มันเผ็ดเกินไป มันเผ็ดเกินไป” มันจะเผ็ดเกินไปตลอดไง รสมันจะเข้มข้นเกินไป นี่เก็บไว้เพื่อประโยชน์

ฉะนั้น เราคิดว่าให้เขาใช้ประโยชน์แค่นี้พอเนาะ บอกว่าไม่อนุญาต เดี๋ยวมันจะกลายเป็นแม่น้ำ กลายเป็นน้ำทะเลไปไง มันไม่ใช่รสชาติของน้ำพริก คือมันจะไม่เป็นธรรมะหรอก มันจะเป็นประเด็นให้โลกเถียงกัน พอโลกเถียงกันเป็นประเด็นขึ้นมามันก็กลายเป็นสงครามแล้ว เผยแพร่สงครามออกทางเฟสบุ๊ค

ข้อ ๔๖๗. อันนี้ตลกนะ

ถาม : ๔๖๗. เรื่อง “การดื่มสุราคนเดียวเป็นบาปไหม”

กราบเรียนหลวงพ่อสงบครับ ขอโอกาสปรึกษาธรรมครับ

๑. ดื่มคนเดียวในปริมาณที่ไม่มาก ในปริมาณที่ไม่ทำให้เมา

๒. ดื่มคนเดียวในปริมาณที่เมาแล้วเราก็หลับไป

๓. คนที่ทำงานบอกว่าผิดศีลแต่ไม่บาป จริงไหมครับ

๔. (ข้อ ๔ นี่ความคิดนะ)

หลวงพ่อ : จะดื่มคนเดียว จะดื่มมากดื่มน้อยนี่ผิดศีลหมด

“สุราเมระยะ มัชชะ ปะมาทัฏฐานา”

การดื่มสุรามันทำให้คนขาดสติ เพราะสุราทำให้คนขาดสติ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ แต่พระนี่เวลาป่วยเขากินยาดอง พระเขากินยาดอง เขากินยา เขากินยา กินยาดองเขาไม่ได้กินสุรา แต่ถ้าคนเคร่งครัดเขาไม่ยอมนะ

นี่พูดถึงว่าเราดื่มสุราแต่พระท่านฉันยาดอง ท่านฉันยา ฉันยาจนหัวทิ่มเลยแหละ (หัวเราะ) เราเห็นอยู่ เราเด็กๆ นี่เห็นพระฉันยาดอง เดี๋ยวก็มาฉันยาดอง เดี๋ยวก็มาฉันยาดอง ฉันยาดองจนหัวทิ่มเลย

ผิด! ไม่มีทางหลีกเลี่ยงหรอก ฉันยาดองพูดถึงประสาเรานะ ภิกษุเป็นไข้ให้กินข้าวเย็นได้ หลวงตาท่านบอกว่าไม่ได้หรอก จริงๆ แล้วในตำราบอกว่าให้กินน้ำข้าว ให้กินน้ำข้าวได้ แต่ทีนี้วินัยนี่มันเลื่อนไปเรื่อยๆ มันเคลื่อนไปเรื่อยๆ ไง เหมือนข้าวยาคูไง ให้กินน้ำข้าวถ้ามันจะเป็นจะตาย แล้วอย่างพระเรานี่ป่วยขนาดไหนก็ไม่กินข้าว หลวงปู่มั่นท่านป่วยขนาดไหน หลวงตานี่ขนาดเอาน้ำมะพร้าวเข้าไปท่านยังโดนหงายท้องเลย น้ำมะพร้าวเฉยๆ หลวงปู่มั่นท่านยังไม่ยอม

ทีนี้ในวินัย ในพระไตรปิฎกว่าไว้อย่างนี้ ถ้าเราไม่ฉันข้าวมื้อนี้ ไม่ฉันอาหารตอนเย็นอะไรนี่ ป่วยแล้วไม่ฉันน้ำข้าว เราจะตาย ท่านถึงอนุญาตให้ฉันนะ คือไม่ฉันตาย ฉันแล้วหาย ท่านให้ฉัน แต่นี่ไม่อย่างนั้น พอป่วยแล้วล่อเละเลย นี่ไงดื่มสุรานี่แหละ

ฉะนั้นผิด! ดื่มคนเดียวก็ผิด ดื่มสองคนก็ผิด ดื่มครึ่งคนก็ผิด คือว่าดื่มนี่ผิดหมดแหละ ผิดศีลแต่ไม่บาป บาปหรือไม่บาป.. นี่บาป! ถ้าเราไม่ได้อธิษฐาน เราไม่ได้ตั้งใจถือศีลไม่เป็นไร แต่ถ้าถือศีลก็ผิดศีล แต่ผิดหมดแหละ ผิดศีล ถ้าเราคิดของเรานะ ฉะนั้นไม่มีข้อยกเว้นหรอก ข้อยกเว้นไม่มี ข้อยกเว้นไม่มี ถ้าเราจะยกเว้น..

เอาให้มันหมดไปเลยก็ได้ กลัวมันจะสายไปไง ปัญหาก็เหลือไว้เยอะ

ถาม : ๔๗๐. เรื่อง “ทำอย่างไร จิตจะไม่เพ่งโทษคนอื่น”

กราบนมัสการหลวงพ่อ โยมมีปัญหาจะถามดังนี้

หลวงพ่อ : คือเขากลับมาจากเรียนเมืองนอกปี ๕๑ แล้วทำงาน แล้วที่ทำงาน ในปัญหานี้บอกว่า คนทำงานนี่ทำงานผิด คนทำงานเหมือนกับทางโลก คือไม่ทำงานด้วยเนื้องาน คือสอพลอ แล้วได้ขั้นได้ตอน กรณีอย่างนี้นะ แล้วสุดท้ายแล้วเขาเองเขาบอกว่า จิตใจเขานี่ไม่สบายใจเลย เพราะเขาเรียนมาแล้ว ทางหลักวิชาการไม่ควรทำอย่างนี้

ไอ้เรื่องนี้เป็นเรื่องสังคมในที่ทำงาน ของอย่างนี้เขาเรียกว่า “ผลของวัฏฏะ” มีคนพูดมากว่าทำไมเจ้านายนี่ดีมากๆ เลย แต่อยู่ปี ๒ ปีเกษียณแล้ว เจ้านายไม่ดีนี่อู้ฮู.. อยู่กับเราน๊าน นาน น่าเบื๊อ น่าเบื่อ เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย เวลาเจ้านายดีๆ นี่อู๋ย.. แป๊บเดียวก็ไปแล้ว ไอ้เจ้านายไม่ดีๆ อู๋ย.. อยู่กับเรานานน่าดูเลย

แล้วทำไมเราไม่มีเจ้านายที่ดีล่ะ? เจ้านายเขาก็ผ่านประสบการณ์ของเขามา เราก็ต้องผ่านประสบการณ์ของเรา นี่คือประสบการณ์ของการทำงานนะ แล้วให้เราหาทางออกเอาเอง ให้หาทางออกนะ เพราะเขาบอกว่า ควรจะทำตัวอย่างใด? ควรจะวางใจอย่างใด?

“หนีคนไม่พ้นคน”

มีลูกศิษย์คนหนึ่ง เรียนจบเมืองนอกมา แล้วไปสอนหนังสือพวกอาชีวะ แล้วเขาบอกให้พ่อแม่เขาใช้ทุนคืน เขาบอกว่าไอ้เด็กมันไม่เอาถ่าน มันไม่ยอมเรียน เขาจะไปสอนระดับมหาวิทยาลัย แล้วเขาเอาเงินไปใช้ทุนนะ เป็นสิบๆ ล้าน เพราะว่าเขาเรียนจากเมืองนอกมา เขาเสียดาย เสียดายความรู้เขา ว่าความรู้เขานี่ควรมาส่งเสริมบุคลากรของประเทศชาติได้มาก แต่มาสั่งสอนไอ้เด็กอาชีวะมันไม่เอาถ่าน มันไม่ยอมเรียน

เขาให้พ่อแม่เขานี่เอาเงินไปใช้ทุน แล้วพ่อแม่ก็พามาหาเรา เราพูดคำนี้ไง เราบอกว่า เอ็งหนีคน.. เพราะเขาบอกว่าเด็กมันไม่ดี จะไปสอนระดับมหาวิทยาลัย

“เอ็งหนีคน เอ็งก็ต้องไปเจอคน เอ็งว่าเด็กอาชีวะนี่เด็กมันไม่เอาถ่าน เอ็งว่าระดับอุดมศึกษามันเอาถ่าน เอ็งคาดหวังอย่างนั้นหรือ?”

นี่ด้วยความรู้สึกของเราไง เราคิดว่าสังคมนี้มันไม่ดี สังคมนี้มันไม่ดี กูจะไปสังคมอื่น สังคมอื่นมันก็คือคน คนทั้งนั้นเลย กูจะดูว่าเอ็งจะหนีคนไปเจอคนอยู่ที่ไหน อันนี้ก็เหมือนกัน เราจะหนีคนไปเจอคนหรือ?

เรานี่นะมีความรู้สึกกระเทือนใจมากตอนบวชใหม่ๆ เราบวชมานะเราบวชเป็นพระ เราบวชเข้ามานี่เราว่าพระต้องเป็นผ้าขาว พระทุกองค์ต้องดีหมดเลย แล้วเราบวชมาแล้วพรรษาแรกนะ เราก็อดอาหาร เนสัชชิกนะ ธุดงค์ ๑๓ นี่ทำครบเลย พอทำไปๆ นะเวลามีพระบวชใหม่ แล้วพระองค์ไหนจะมีแรงเสียดสีเขาจะมาหาเรา เราจะบอกเขา เราจะยกตัวอย่างไง ยกตัวอย่างเรานี่แหละ

“เรานี่นะเหมือนหมาตัวหนึ่ง แล้วโดนหมาทั้งฝูงรุมกัด”

เราเหมือนหมาตัวนั้น ไปไหนมีแต่คนรุมกัด รุมกัดๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรใครเลยนะ ไม่ได้ทำอะไรใคร เพราะอะไร เพราะเราปฏิบัติกับตัวเรานะ เราบิณฑบาตเป็นวัตรก็ตัวเรา เราไม่นอนก็ตัวเรา เราไม่ทำอะไรก็ตัวเราหมดเลยใช่ไหม เราทำด้วยตัวเราเองนะ ธุดงควัตรเราทำเพื่อตัวเราเอง แต่อยู่กับสังคมไง สังคมว่ามันเกินหน้าเกินตา สังคมมันบอกว่าเด่นเกินไป

เราเหมือนหมาตัวนั้นนะ โดนกัดมาตลอด แต่มันก็เอาตัวรอดมาได้ เอาตัวรอดมาได้ที่ว่าดูตัวเองไง มานะ อดทน ขยันหมั่นเพียร ทำเพื่อใจเรา รักษาใจเรา เหมือนที่หลวงตาสอน หลวงตาสอนว่า “ให้ดูใจเรา อย่าดูใจคนอื่น”

ฉะนั้นเวลาพูดสิ่งใดเขาจะถามว่า

“หลวงพ่อ พูดแล้วสบายใจไหม?”

“โอ้.. สบายใจมาก ไม่สบายใจไม่พูดหรอก พูดแล้วมีแต่ความสบายใจ แล้วถ้าใครจะด่านะ แล้วค่อยว่ากันทีหลัง อันนั้นล่ะเดี๋ยวก็ผลกระทบ”

ฉะนั้นสิ่งที่สังคม.. นี่เขาถามมา “จะทำอย่างไรจิตถึงจะไม่เพ่งโทษคนอื่น”

เราจะถามตัวเองว่าตัวเองทำอย่างใด? ตัวเองก็โดนแบบนี้เหมือนกัน ผู้ถามนี่ถามมาหาอาจารย์ อาจารย์ก็โดนเหมือนโยมเลย ลูกศิษย์กับอาจารย์นี่หัวอกเดียวกัน โดนเขาเพ่งโทษเหมือนกัน แล้วก็ต้องแก้ไขใจของตัวเองเหมือนกัน

อาจารย์แก้ไขใจตัวเองแล้วนะ โยมต้องแก้ไขใจตัวเองด้วย แก้ไขเรา แล้วเราจะเห็นว่าเขานี่เป็นโอสถให้เราได้แก้ไขตัวเราเองไง เป็นโอสถอันหนึ่งให้เราเห็นโทษ ให้เราเห็นหัวใจเราฟุ้งขึ้นมา แล้วเราแก้ไขใจเรา เราจะขอบคุณเขานะ จะขอบคุณเขาว่า เขาคุ้ยใจเราให้เห็นกิเลสของเราได้ อันนี้เราจะคอยดูของเราเนาะ

ถาม : เวลานี้สังคมรวมทั้งหมู่เพื่อน ตกอยู่ภายใต้มารศาสนา หรือพวกเข้าทรง อ้างตัวเป็นครูบาอาจารย์ เช่น....

หลวงพ่อ : อืม เห็นไหม บอกแล้วว่าเดี๋ยวพระพุทธเจ้าเข้าทรงแน่ๆ เลย ถ้าต่อไป..

เมื่อวานมีลูกศิษย์พูดอย่างนี้แหละ ลูกศิษย์นะ บอกว่าพี่ชาย พี่สาว พี่ของเขาเอง เขาไปเชื่อพระนี่แหละ พระเข้าทรง พระต่างๆ เขาก็เชื่ออยู่ เขาก็สงสารพี่ เห็นไหม เราจะบอกว่าพี่น้องเดียวกัน แต่อุดมคติ ความรู้สึกคนยังแตกต่างกันเลย

ฉะนั้น กรณีอย่างนี้เราไม่เชื่อเลย ถ้าเข้าทรงด้วยเจ้าพ่อดำ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่ออะไรนะ เราก็เรื่องของเขาเถอะ แต่ถ้าบอกว่าเข้าทรงหลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์เรา เราไม่เชื่อ พระอรหันต์ไม่มาเข้าหรอก พระอรหันต์ไม่มาเข้า เป็นไปไม่ได้! พระอรหันต์จะมาเข้าทรงใครนี่เป็นไปไม่ได้หรอก แต่พระอรหันต์ อย่างเช่นหลวงปู่แหวน เราจะว่าหลวงปู่แหวนอยู่ที่ไหน? แล้วจิตใดเป็นหลวงปู่แหวน?

นี่จิตพระอรหันต์ไม่มีนะ แต่ว่าจิตไหนเป็นหลวงปู่แหวน แล้วทำไมมาเข้า เขาจะอ้างว่าเป็นหลวงปู่แหวน.. ก็เขาพูดเอง! เวลาเขาเข้าเอง เขาก็พูดเอง อย่างเรานี่ เราจะบอกเลยว่าเราเป็นดาราใหญ่เลย เราก็พูดได้ เราจะเป็นใครก็ได้ เราก็พูดได้ แต่จริงหรือเปล่า? เป็นได้อย่างไร หัวโล้นๆ นี่เป็นดาราได้อย่างไร?

นี่ก็เหมือนกัน พอเข้าทรงแล้วว่าเป็นหลวงปู่แหวน ถามว่าหลวงปู่แหวนนี่ พ่อแม่หลวงปู่แหวนชื่ออะไร? ลองถามมันดูสิ.. มีลูกศิษย์เราหลายคนนะ เขาบอกพระองค์ไหนก็แล้วแต่ที่รู้วาระจิต เราให้ลูกศิษย์เราไปหาเขาเลย โทษนะ เราให้ด่าแม่มันเลย ดูซิมันรู้ไหม? ไม่มีรู้หรอก แต่พวกเรามันเหมือน เขาเรียกว่าอะไรนะ “จิตวิทยาหมู่ไง”

พวกนี้เขาจะมี.. อย่างเช่นเราจะเข้าทรงนะ เราจะมีหน้าม้าคนหนึ่งเลย โอ้โฮ.. หลวงพ่อดีอย่างนั้น หลวงพ่อดีอย่างนี้นะ ไอ้คนเข้ามานะ เออ.. ดีตามหมดเลย จิตวิทยาหมู่

ไปเชื่ออะไรกัน! ขาดจากเป็นชาวพุทธ พุทธมามกะต้องถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์.. พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วไปกราบคนเข้าทรงนี่มันพระพุทธเจ้าไหนวะ ไม่มีหรอก ไม่มี!

ทีนี้เพียงแต่ว่าการเข้าทรงมีไหม? มี.. จิตมีไหม? มี.. วิญญาณมีไหม? มี.. แต่เรื่องนี้เป็นไสยศาสตร์ พระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ แล้วพระทำกันได้อย่างไร? ถ้าพระที่เป็นพระจริงๆ นะ..

ถาม : อธิบายอย่างไรให้พวกเขาเข้าใจ มีดวงตาเห็นธรรม และเป็นเวรกรรมของพวกเขาเหล่านั้น รู้แล้วปล่อยวาง เอาตัวรอด

หลวงพ่อ : ไปพูดนี่เขาด่าเอาด้วย มันเป็นผลของวัฏฏะ เขาเชื่อของเขา โอ๋ย.. เขารักกันจะเป็นจะตายคู่หนึ่ง ไปบอกเขาว่าแฟนมึงไม่ดี แฟนมึงไม่ดี โอ๋ย.. หน้าแตกเลย เขารักกัน เขาจะแต่งงานกันอยู่พรุ่งนี้แล้ว จะไปบอกเขาหรือว่า เฮ้ย.. แฟนเอ็งไม่ดีนะ แฟนเอ็งไม่ดีนะ

ความผูกพัน ใจมันเชื่อไปแล้ว ใจมันเชื่อ เราไม่ใช่เห็นด้วยนะ เราไม่เคยเห็นด้วยเรื่องอย่างนี้ แต่เราจะบอกว่าการแก้ใจมันยาก คนมันเชื่อไปแล้ว ไปทั้งตัวแล้ว แล้วพยายามจะดึงกลับ เป็นเรื่องที่ยากมาก ฉะนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เวลาเราพูดธรรมะ เห็นไหม เราถึงพูดขาวกับดำชัดๆ ไม่ให้ใครไปอ้างเป็นเทาๆ โลกนี้มีแต่เทาๆ ครึ่งๆ ครึ่งๆ แล้วพอไปบอกมัน มันก็รักกันด้วยนะ ไปบอกแฟนมันไม่ดี อู๋ย.. บุคคลที่สาม เสียหายหมดเลย

นี่ยกตัวอย่าง โยมถามว่าจะแก้อย่างไร? เรายกตัวอย่างให้เห็นว่า ความรู้สึกของเขา อาจารย์ของเขา เราไปบอกอาจารย์ของเขาไม่ดี โอ้โฮ.. สะเทือนมากเลย แล้วรู้อย่างนี้จะไปพูดทำไม?

ที่พูดนี้เป็นสาธารณะสมบัติ เวลาเราพูดนี่เป็นสมบัติสาธารณะ พูดเพื่อสาธารณะ ใครมีปัญญา ใครมีเชาว์ปัญญา คนนั้นได้ประโยชน์ ใครไม่มีเชาว์ปัญญา คนนั้นไม่ได้ประโยชน์ เราพูดเพราะเหตุนี้ เราพูดเป็นสาธารณะสมบัติ มันไม่ใช่พูดเรื่องของใครทั้งสิ้น ไม่สน! ไม่สน!

ถาม : ๑. หลักการของหลวงพ่อ โยมปฏิบัติโดยพุทโธเร็วๆ ตามที่หลวงพ่อสอน จนระยะหนึ่งจิตเริ่มสงบและหยุดพุทโธมาดูลมหายใจละเอียด อยู่ได้นานแต่นิ่งอยู่เฉยๆ โยมจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปคะ

หลวงพ่อ : ถ้าพุทโธชัดๆ เห็นไหม ถ้าพุทโธชัดๆ แล้วจิตสงบดี แล้วหนูหยุดพุทโธ.. ถ้าพุทโธมันดีแล้ว ก็พุทโธต่อไปไม่ได้หรือ? แล้วไปหยุดพุทโธทำไมล่ะ? ก็พุทโธต่อไปสิ

พุทโธนี่เป็นพาหะ จะส่งจิตเข้าไปสู่ฐาน เข้าไปสู่จิต พอพุทโธ พุทโธแล้ว พอมันเริ่มสบายๆ แล้ว เวลาคนป่วยนะไปหาหมอถามว่า “หมอ เมื่อไหร่หาย? หมอ เมื่อไหร่หาย?” พอหมอให้ยาปั๊บนะ กินยาไม่ครบคอร์สเลิกแล้ว พอหมอเขาให้ยามาก็ต้องกินให้ครบนะ โรคมันถึงจะหายใช่ไหม พอหมอให้ยามานะกิน ๒ ชุด ที่เหลือเก็บไว้ก่อน เพราะมันหายแล้ว มันสบายแล้ว

เหมือนกัน พุทโธก็พุทโธไปเรื่อยๆ สิ พุทโธไปเรื่อยๆ จนจิตมันสงบหมดแล้ว มันเข้าไปจนถึงมันพุทโธไม่ได้เลย โอ้โฮ.. นั่นสุดยอดเลย ไอ้นี่ไปหาหมอบอกว่า “หมอ เมื่อไหร่หาย? หมอ เมื่อไหร่หาย?” นี่พุทโธ พุทโธ พอพุทโธแล้วก็เป็นลมหายใจ

นักปฏิบัติเป็นอย่างนี้หมดนะ คือไม่จริงจัง ถ้าจริงจังแล้วนะมันจะเป็นประโยชน์ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะพุทโธ พุทโธแล้วมันดีขึ้น นี่มันก็เห็นอยู่แล้ว “หนูก็เลยหยุดค่ะ ไปดูลมหายใจ ดูลมหายใจเสร็จแล้วเดี๋ยวก็นอนค่ะ เดี๋ยวก็จะจบแล้วค่ะ” อืม.. มันก็จะไปเรื่อยแหละ

นี่แหละกิเลสมันตัดทอนไง

ถาม : ๒. ขณะที่ดูลมนิ่งอยู่นั้น มันมีความว่างก็จริง แต่ความคิดก็ยังมาเป็นระยะ แต่มีความรู้สึกได้มีความคิดต่อไปควรทำอย่างไร? ดูความคิดนั้นหรือดูลมหายใจ

หลวงพ่อ : ดูลมหายใจไปเรื่อยๆ อันนี้มันเป็นความสงบ จิตเรา.. เพราะคำบริกรรมนะ หลวงตาบอกคำบริกรรมสำคัญ สติสำคัญ คำบริกรรมสำคัญ ถ้าไม่มีคำบริกรรม ไม่มีสื่อนำไปสู่ ดูสิไฟนี่ ไฟจะไปได้ต้องมีสายส่ง ถ้าไม่มีสายส่งไฟจะไปไม่ได้ ไอ้นี่พุทโธ พุทโธ อวดรู้อวดเห็น ปั่นไฟขึ้นมา แล้วก็บอกว่าส่งขายหมดแล้ว มันก็อยู่ที่หม้อแปลงนั่นแหละ ไปไหนไม่รอดหรอก

จิตมันก็อยู่ที่ความรู้ ความรู้เกิดดับ มันก็ตายอยู่ที่นั่นแหละ แต่พุทโธ พุทโธ พุทโธนี่สายส่ง สายส่งส่งกำลังนั้นเข้าสู่ ส่งทวนกระแสด้วยนะ ส่งเข้าสู่ใจนะ จนเข้าไปสู่ใจของตัวเองนะ โอ้โฮ.. พอมันวางหมดนะมันเด่น แล้วมันมีกำลัง

สมาธิต้องมีกำลัง สมาธิต้องมีความรับรู้ แต่ที่เขาบอกว่าว่างๆ ว่างๆ นี่มิจฉา คืออากาศไง ไฟที่เราปั่นขึ้นมามันมีกำลัง มันมีสายส่งนะ ดูไฟสถิตบนฟ้า มันเปรี้ยงเดียว ล้านๆ โวลต์ตายห่าหมดเลย แล้วใครไปคุมมันล่ะ?

นี่ก็ว่างๆ ว่างๆ ก็ไฟฟ้าสถิตบนอากาศไง แต่ไฟของเราต้องเกิดกับเรา สมาธิเป็นสมาธิ มันมีสัมมาสมาธิกับมิจฉาสมาธิ มันมีความจริงของมัน ทำให้มันจริงให้มันจัง เพราะเดี๋ยวนี้พอจริงจังขึ้นมา กลายเป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้าใครเป็นขี้ลอยน้ำ อันนั้นดีหมดเลย ใครขี้ลอยน้ำมานะ นั่งๆๆ แล้วเป็นสมาธิ นั่งๆๆ แล้วมีปัญญา อู้ฮู.. ไปกันหมดเลย อันนั้นธรรมะขี้ลอยน้ำ เอวัง